
ภาษาไทย
เรื่อง กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
ผู้แต่ง เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ไชยเชษฐสุริยวงศ์
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ไชยเชษฐสุริยวงศ์ หรือขานพระนามกันทั่วไปว่า “เจ้าฟ้ากุ้ง” ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๒๔๘ เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ กับกรมหลวงอภัยนุชิตพระมเหสีใหญ่ (สมเด็จพระพันวัสสาใหญ่) ทรงมีพระอนุชาต่างพระมารดา ๒ พระองค์คือ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าเอกทัศน์ (พระเจ้าเอกทัศน์) และพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามะเดื่อ (ขุนหลวงหาวัด) เมื่อพระราชบิดาได้เสวยราชย์แล้วโปรดให้สถาปนาเป็นเจ้าธรรมธิเบศร์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๗๖ ต่อมาใน พ.ศ.๒๒๘๔ ทรงได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) อภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าหญิงอินทสุดาวดี พระองค์เป็นกองการปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีสรรเพชญ์และวัดอื่นๆ มากมาย พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถหลายด้าน โดยเฉพาะด้านวรรณกรรม พระองค์ทรงเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๒๒๙๘ โดยสาเหตุลอบเป็นชู้กับเจ้าฟ้านิ่มหรือเจ้าฟ้าสังวาลย์ซึ่งเป็นพระสนมของพระราชบิดาจึงต้องพระราชอาญาถูกโบยจนสิ้นพระชนม์พร้อมด้วยเจ้าฟ้าสังวาลย์ แล้วนำศพไปฝังวัดไชยวัฒนาราม
ผลงานที่ทรงพระนิพนธ์ คือ เพลงยาวบางบท บทเห่เรื่องกากี ๓ ตอน กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง พระมาลัยคำหลวง กาพย์โคลงนิราศธารโศก บทเห่สังวาสและบทเห่ครวญอย่างละบท กาพย์เห่เรือ และ
นันโทปนันทสูตรคำหลวง
ลักษณะการแต่ง กาพย์ห่อโคลง ประกอบด้วยกาพย์ยานี ๑๐๘ บท และโคลงสี่สุภาพ ๑๑๓ บท ปิดท้ายด้วยโคลงสี่สุภาพ ๒ บท ลักษณะกาพย์ห่อโคลงขึ้นต้นด้วยกาพย์ยานี ๑ บท ตามด้วยโคลงสี่สุภาพ ๑ บท ใจความเหมือนกัน เนื้อความนิยมแต่งล้อตามกัน คำต้นบทของโคลงตรงกับคำต้นบทของกาพย์ “ดังไม้ไผ่หรืออ้อยที่มีกาบห่อนั้น”
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
เพื่อความเพลิดเพลินในการชมธรรมชาติระหว่างการเดินทางไปพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
สาระสำคัญของเรื่อง
ตอนต้นกล่าวถึงกระบวนเสด็จ พรรณนาสัตว์ป่าตามสภาพของมัน พรรณนาพวกนก พรรณนาพันธุ์ไม้ พรรณนาลำธารและปลา และพรรณนาความสนุกรื่นรมย์ที่ธารทองแดง
คุณค่าที่ได้รับจากเรื่อง
๑.ให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสัตว์นานาชนิดในสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งธรรมชาติของพรรณไม้ดอกไม้ผลในสมัยกรุงศรีอยุธยา
๒.ให้คุณค่าด้านวรรณศิลป์และด้านสังคมที่ดี กวีใช้คำง่ายๆ ให้อรรถรส สื่อความหมายชัดเจน เล่นคำ เล่นเสียง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
๑.ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทุกคนควรช่วยกันรักษาไว้เพื่อให้สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศดีขึ้น
๒.กวีสร้างสรรค์งานโดยอาศัยการสังเกตจากธรรมชาติ
๓.ข้อมูลจากวรรณคดีในแต่ละสมัยสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมในสมัยนั้น เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์อีกวิธีหนึ่ง
๔.คำประพันธ์ทำให้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น
https://www.youtube.com/watch?v=Ue0tvpwKHWo
โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ (พระปิยมหาราช
ประวัติผู้แต่ง
ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๔) และ
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (พระนางเธอพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์)
ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ
ทรงพระราชสมภพ ปี พ.ศ. ๒๓๙๕ เสวยราชย์ ปี พ.ศ. ๒๔๑๑
โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนจนกว่าพระองค์ ท่านจะทรงผนวช เพราะขณะนั้นทรงมีพระชันษาเพียง๑๖ ปีเท่านั้น
พระราชภารกิจ
ในรัชสมัยของพระองค์ท่านทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองในหลายๆด้านทั้งด้านการเมืองและการปกครอง มีการบริหาราชการภูมิภาค การศาสนา การสาธารณูปโภค การพยาบาลและสาธารณสุข การสื่อสาร ฯลฯ
นอกจากพระปรีชาสามารถในด้านการเมือง การปกครองแล้วด้านวรรณคดีและการประพันธ์พระองค์ท่านก็ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่งอีกเช่นกัน บทพระราชนิพนธ์ในพระองค์มีทั้งบทร้องกรองและบทร้อยแก้ว มีเรื่องแปลมากขึ้น ความเรียงมีเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อน มีนักเขียนเพิ่มมากขึ้น มีการพิมพ์หนังสือแจกในงานต่างๆ มากขึ้น มีการตั้งหอสมุดวชิรญาณ เกิดวรรณคดีสโมสร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ท่านเองก็ทรงเป็นกวีเอกผู้หนึ่งด้วย ทรงมีบทพระราชนิพนธ์มากมายที่เป็นที่รู้จักอาทิ พระราชพิธีสิบสองเดือน , ไกลบ้าน, เงาะป่า,ลิลิตนิทราชาคริต, โตลงสุภาษิตต่างๆ,พระราชวิจารณ์ ฯลฯ
เสด็จสวรรคต
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
เวลาที่แต่ง
ปี พ.ศ. ๒๔๒๘
ลักษณะคำประพันธ์
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์
เป็นโคลงสี่สุภาพ ๑๘ บท
โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
เป็นโคลงสี่สุภาพ ๑๒ บท
โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ
เป็นร้อยแก้ว และสรุปด้วยโคลงสี่สุภาพ(เป็นสุภาษิต)
มีทั้งหมด ๔ เรื่อง คือ
ราชสีห์กับหนู , บิดากับบุตรทั้งหลาย , สุนัขป่ากับลูกแกะ ,กระต่ายกับเต่า
ที่มาของเรื่อง
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เดิมเป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีในพระราชสำนักแปลและประพันธ์เป็นโคลงภาษาไทย พระองค์ท่านได้ทรงตรวจแก้และทรงพระราชนิพนธ์โคลงบทนำด้วย)
โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ เช่นกัน (โดยทรงแปลมาจากโคลงเดิมที่เป็นภาษาอังกฤษ)
โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ เช่นกัน โดยทรงแปลมาจากนิทานกรีกฉบับภาษาอังกฤษ เพราะสมัยนั้นคนไทยนิยมอ่านเรื่องที่แปลมาจากวรรณคดีตะวันตกกันมาก โดยเฉพาะนิทานอีสป เพราะไม่ผูกติดกับขนบธรรมเนียม ประเพณี และค่านิยมของชาติใดชาติหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลนิทานอีสปไว้ทั้งหมด ๒๔ เรื่อง
และทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตประกอบนิทานร่วมกับกวีอีก ๓ ท่าน คือ กรมหลวง
พิชิตปรีชากร พระยาศรีสุนทรโวหาร และ พระยาราชสัมภารากร ซึ่งรวมเรียกว่า
“โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ”
จุดประสงค์ในการแต่ง
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ และ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ มีจุดประสงค์ในการแต่งเพื่อต้องการจะอธิบายสุภาษิตที่เกี่ยวกับนามธรรมซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับคนทุกคน ทุกฐานะ ทุกอาชีพ ได้นำไปเป็นเครื่องโน้มนำให้ประพฤติชอบอย่างผู้มีสติและมีความปลอดโปร่งในชีวิต
โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ มีจุดประสงค์ในการแต่งเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้อ่านให้
พิจารณาคำสอนที่ได้จากนิทานเรื่องนั้นๆ
สาระสำคัญ
โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์
กล่าวถึงสิ่งที่ควรปฎิบัติและสิ่งที่ควละเว้น ๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ รวม ๔๘ ข้อ ดังต่อไปนี้
ว่าด้วยความสามอย่าง กล่าวถึง นักปราชญ์ได้แสดงเนื้อหาเป็นเรื่องสอนใจไว้อย่างครบครันเป็น
๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ เพื่อเป็นแม่บทให้แก่บัณฑิตผู้ที่มุ่งความหวังความสุข ขจัดความทุกข์ และมุ่งสร้างคุณงามความดีไว้เป็นที่สรรเสริญต่อไปได้ประพฤติและปฎิบัติตาม ดังนี้
๑.สามสิ่งควรรัก อันได้แก่ ความกล้า ความสุภาพ และความรักใคร่
๒.สามสิ่งควรชม อันได้แก่ อำนาจปัญญา เกียรติยศ และมีมารยาทดี
๓.สามสิ่งควรเกลียด อันได้แก่ ความดุร้าย ความหยิ่งกำเริบ และอกตัญญู
๔.สามสิ่งควรรังเกียจติเตียน อันได้แก่ ชั่วเลวทราม มารยา และฤษยา
๕.สามสิ่งควรเคารพ อันได้แก่ ศาสนา ยุติธรรม และสละประโยชน์ตนเอง
๖.สามสิ่งควรยินดี อันได้แก่ การเป็นผู้มีความงาม มีความสัตย์ซื่อ และมีความเป็นตัวของตัวเองมีอิสระเสรี
๗.สามสิ่งควรปรารถนา อันได้แก่ ความสุขความสบายกาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การมีเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ดี และมีความปลอดโปร่งสบายใจ
๘.สามสิ่งควรอ้อนวอนขอ อันได้แก่ ความเชื่อถือด้วยจิตใจที่มั่นคง ความสงบสามารถดับทุกข์ร้อนได้
และจิตใจที่สงบไม่ขุ่นหมอง
๙.สามสิ่งควรนับถือ อันได้แก่ การเป็นผู้มีปัญญา มีความฉลาด และมีความมั่นคงไม่โลเล
๑๐.สามสิ่งควรชอบ อันได้แก่ ความมีใจอารีสุจริต ใจดีไม่มีเคืองขุ่น และมีความสนุกเบิกบานพร้อมเพรียง
๑๑.สามสิ่งควรสงสัย อันได้แก่ คำยกยอที่ไม่เปนจริง พวกหน้าเนื้อใจเสือ และพวกรักง่ายหน่ายเร็วพูดกลับคำไปมา
๑๒.สามสิ่งควรละ อันได้แก่ ความเกียจคร้าน การพูดจาเลอะเทอะไร้สาระ และการใช้คำแสลงหรือคำหยาบคาบพูดหยอกล้อคนอื่น
๑๓.สามสิ่งควรจะกระทำให้มี อันได้แก่ หนังสือดีให้ความรู้ เพื่อนที่ดี และความเป็นคนใจเย็น
๑๔.สามสิ่งควรจะหวงแหนฤๅต่อสู้เพื่อรักษา อันได้แก่ ชื่อเสียงเกียรติยศ ประเทศชาติบ้านเมือง
และเพื่อนสนิทมิตรสหาย
๑๕.สามสิ่งควรครองไว้ อันได้แก่ กิริยาที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในใจ ความมักง่าย คำพูดคำจาควรรักษาและระวังให้ดี
๑๖.สามสิ่งควรจะเตรียมเผื่อ อันได้แก่ ความเป็นอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความแก่ชรา และความตาย เพราะไม่มีใครหลีกพ้น
๑๗.จบทั้ง ๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ แล้วรวมเป็น ๔๘ คำสอนที่บอกกล่าวไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว
โคลงสุภาษิตนฤทุมการ
กล่าวถึง ๑๐ ประการ ที่ผู้ประพฤติยังไม่เคยเสียใจ เพราะเป็นความประพฤติดีในไตรทวาร (กาย วาจา ใจ ) อันจะยังให้เกิดผลดีแก่ผู้ประพฤติเองและต่อสังคมส่วนรวม อันได้แก่
๑.เพราะความดีทั่วไป กล่าวถึง การทำความดีนั้นไม่ควรเลือกกระทำกับผู้ใดผู้หนึ่ง ควรทำกับคนทั่วๆไป และทำความดีเพิ่มขึ้นด้วยความชอบธรรม จะได้ไม่มีศัตรูคิดร้าย จะมีก็แต่ผู้ยกย่องเชิดชู
๒.เพราะไม่พูดจาร้ายต่อใครเลย กล่าวถึง การอยู่ห่างไกลความหลงและความริษยาไม่พูดจากล่าวเท็จให้ร้ายผู้อื่น ไม่พูดอาฆาตใคร และไม่พูดนินทากล่าวโทษผู้ใด
๓.เพราะถามฟังความก่อนตัดสิน กล่าวถึง การได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวใดๆ มาไม่ควรจะเชื่อในทันที ต้องสอบสวนทวนความ คิดใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อ
๔.เพราะคิดเสียก่อนจึงพูด กล่าวถึง ก่อนที่จะพูดสิ่งใดให้ตั้งสติให้รอบครอบก่อน เพราะการพูดดีก็เหมือนกับการเขียนที่มีการเรียบเรียงไว้แล้ว ทำให้เวลาฟังเกิดความไพเราะเสนาะหู และไม่เป็นภัยตัวผู้พูดด้วย
๕.เพราะอดพูดในเวลาโกรธ กล่าวถึง การรู้จักหักห้ามตนเองไม่ให้พูดในขณะที่ยังโกรธอยู่โดยให้หยุดคิดพิจารณาว่าพูดแล้วจะเป็นฝ่ายปพ้หรือชนะ หรือพูดไปแล้วจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด หากไม่รู้จักยับยั้งแล้วละก็อาจทำให้เสียหายได้
๖.เพราะได้กรุณาต่อคนที่ถึงอับจน กล่าวถึง การมีความเมตตากรุณาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบภัย ทำให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ยาก ผลที่ได้รับคือผู้คนจะพากันสรรเสริญทั้งในปัจจุบันแล้วอนาคต
๗.เพราะขอโทษบรรดาที่ได้ผิด กล่าวถึง เมื่อกระทำการสิ่งใดผิดพลาดแล้ว ก็ควรลดความอวดดีลง และรู้จักกล่าวโทษเพื่อลดความบาดหมางลง ดีกว่าคิดหาทางแก้ด้วยคาวมคดโกง
๘.เพราะอดกลั้นต่อผู้อื่น กล่าวถึง การมีความอดทนอดกลั้นต่อผุ้ที่มาข่มเหงรังแก ไม่ฉุนเฉียวเหมือนคนพาล นี่แหละจัดได้ชื่อว่าเป็นคนใจเย็น
๙.เพราะไม่ฟังคำคนพูดเพศนินทา กล่าวถึง การไม่ควรฟังคนที่ชอบพูดเพ้อเจ้อเท็จจริงบ้าง เพราะเปรียบเสมือนมีดที่กรีดหรือระรานคนทั่วไป ฟังแล้วจะพาเราเข้าไปอยู่ในพวกพูดจาเหลวไหลไปด้วย
๑๐.เพราะไม่หลงเชื่อข่าวร้าย กล่าวถึง การไม่ควรด่วนหลงหรือตื่นเต้นกับข่าวร้ายที่มีผู้นำมาบอก ควรสืบสาวเรื่องราวที่แท้จริงก่อน
ที่กล่าวมาทั้ง ๑๐ ประการนี้ แม้จะกระทำตามได้ไม่หมดทุกข้อ กระทำได้เป็นบางข้อก็ยังดี
ข้อคิดที่ได้
สุภาษิตทั้งปวงมีเนื้อหาสาระที่ให้คติในการดำรงชีวิต ด้วยการชี้ให้เห็นสิ่งที่ควรปฎิบัติและควรละเว้น ผู้ประสงค์ความเจริญในชีวิตควรอ่านด้วยคาวมพินิจพิจารณาแล้วเลือกนำสุภาษิตนั้นๆ ไปปฎิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตตนและสังคมส่วนรวมเท่าที่สามารถจะทำได้
โคลงสุภาษิตอิศปปกรณำ
๑.ราชสีห์กับหนู
มีราชสีห์ตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ มีหนูตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนหน้าทำให้ราชสีห์ตกใจตื่นและลุกขึ้นมาด้วยความโกรธพร้อมกับจับหนูไว้ได้และจะฆ่าเสีย แต่เจ้าหนูได้อ้อนวอนขอชีวิตไว้แล้วจะตอบแทนคุณในภายหลัง ราชสีห์หัวเราะแล้วก็ปล่อยเจ้าหนูตัวนั้นไป ต่อมาราชสีห์ถูกนายพรานจับมัดไว้ด้วยเชือกหลายเส้นส่งเสียงร้องดัง จนเจ้าหนูนั้นได้ยินมันจึงมาช่วยกัดเชือกจนขาดช่วยชีวิตราชสีห์ไว้ได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทผู้ที่ต่ำต้อยด้อยกว่า เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าเราจะประสบเคราะห์หามยามร้ายเมื่อไร หากคนพวกนี้มาพบเห็นเราขณะมีภัย คงจะมีผู้ที่ระลึกถึงคุณของเราและให้ความช่วยเหลือเราบ้าง
๒. บิดากับบุตรทั้งหลาย
กล่าวถึงชายผู้หนึ่งมีบุตรหลายคน บุตรเหล่านั้นทะเลาะกันมิได้ขาด ผู้เป็นบิดาจะตักเตือนอย่างไรพวกเขาก็ไม่ฟัง ผู้เป็นบิดาจึงหาทางแก้ไขด้วยการสั่งให้บุตรทั้งหลายหาไม้เรียวให้กำหนึ่ง แล้วให้บุตรนั้นหักให้เป็นท่อนเล็กๆแต่พวกบุตรก็ไม่มีใครสามารถหักได้เลยสักคน ผู้เป็นบิดาจึงแก้มัดไม้เรียวกำนั้นออก แล้วส่งให้บุตรหักทีละอัน ปรากฏว่าทุกคนหักได้โดยง่าย ผู้เป็นบิดาจึงสอนบุตรว่า “ หากพวกเจ้ามีความสามัคคีกันรักกันดุจไม้เรียวกำนี้ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายพวกเจ้าได้ แต่ถ้าพวกเจ้าต่างคนต่างแตกแยกทะเลาะวิวาทกันเช่นนี้ก็จะมีภัยอันตรายได้ ก็จะเป็นประดุจไม้เรียวทีละอันที่ถูกทำลายได้โดยง่าย”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากคนเรามีความรักความสามัคคีแล้วจะไม่มีภัยอันตรายใดๆมาเบียดเบียนได้เลย
๓. สุนัขป่ากับลูกแกะ
กล่าวถึงสุนัขป่าตัวหนึ่งมาพบลูกแกะหลงฝูงตัวหนึ่ง มันคิดจะกินลูกแกะเป็นอาหาร จึงได้ออกอุบายกล่าวโทษเจ้าลูกแกะต่างๆนานา เพื่อให้ลูกแกะเห็นว่าตนมีความผิดจริงสมควรที่จะให้สุนัขป่าจับกินเป็นอาหาร แต่ลูกแกะก็ไม่ยอมรับ ในที่สุดด้วยความเป็นพาลเจ้าสุนัขป่าก็จับลูกแกะกินจนได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าได้คาดหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนที่มีนิสัยชั่วร้าย
๔. กระต่ายกับเต่า
กล่าวถึงกระต่ายตัวหนึ่งหัวเราะเยาะเต่าที่เท้าสั้นเดินช้า เต่าจึงท้ากระต่ายวิ่งแข่งกัน โดยให้สุนัขจิ้งจอกเป็นผู้เลือกทาง และกำหนดที่แพ้ชนะให้ พอถึงวันกำหนด ทั้งเต่าและกระต่ายก็ออกเดิน เริ่มต้นที่จุดเดียวกัน กระต่ายนั้นเชื่อมั่นว่าตนขายาวและวิ่งเร็วกว่าจึงเผลอพักหลับไป ครั้นพอตื่นขึ้นมาวิ่งไปโดยเร็ว พอถึงเส้นชัยก็เห็นว่าเต่าอยู่ที่นั่นก่อนนานแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทผู้อื่นและเชื่อมั่นในตนเองเกินไปนัก เพราะอาจจะมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำจนได้รับความอับอายได้
ข้อคิดที่ได้
๑. นิทานมักสะท้อนความคิดของคนในยุคต่างๆได้เป็นอย่างดี
๒. คุณธรรมที่ปรากฏในนิทานจะเป็นอุทาหรณ์ทำให้คนอยากทำแต่คุณงามความดีเสมอ
๓. นิทานเป็นเรื่องเล่าที่มีคติสอนใจทำให้ผู้อ่านเกิดวิจารณญาณในการคิดและนำไปปฏิบัติได้
๔. การอ่านวรรณคดีที่แฝงไว้ซึ่งปรัชญาชีวิตนั้น สามารถทำให้คนมีความสุข สงบ และแก้ไขปัญหาต่างๆได้